News

"การมีชีวิตยืนยาว" หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

          การมีชีวิตยืนยาวเป็นอมตะ ไม่ใช่ความเพ้อฝันที่มีแต่ในหนังวิทยาศาสตร์ไซไฟอีกต่อไป เมื่อผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์ชะลอวัย “นพ.ตนุพล วิรุฬหการุญ” ผู้อำนวยการศูนย์ Bangkok Royal Life Anti-Aging โรงพยาบาลกรุงเทพ และนายกสมาคมแพทย์ฟื้นฟูสุขภาพและส่งเสริมการศึกษาโรคอ้วน กรุงเทพ ฟันธงว่า อีกไม่เกิน 5 ปีข้างหน้า มนุษย์เราจะมีอายุยืนยาวถึง 150 ปีแบบสบายๆ ด้วยอานุภาพของ “สเต็มเซลล์”
          “ผมมั่นใจว่า พวกเราจะได้ใช้ “สเต็มเซลล์” อย่างแน่นอน ภายใน 5 ปีข้างหน้า ตอนนี้ขอให้ใจเย็นๆก่อน ต้องรอจนกว่าหน่วยงานวิจัยหลักอนุมัติว่าใช้ได้ วันหนึ่งที่ประกาศว่าถูกกฎหมาย แล้วค่อยใช้ก็ไม่สาย ตอนนี้ผู้เชี่ยวชาญตัวจริงกำลังศึกษาเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีผลข้างเคียง ใกล้คลอดออกมาแล้ว!! “สเต็มเซลล์” เป็นสิ่งที่จะทำให้มนุษย์อายุยืนถึง 150 ปี แบบสบายๆ อะไรก็ตามที่มาจากรกแกะ หรือเซลล์สัตว์ ไม่ใช่เพราะ “สเต็มเซลล์” ต้องมาจากมนุษย์เท่านั้น สิ่งที่โลกรับรองตอนนี้มีแค่การใช้ “สเต็มเซลล์” จากไขสันหลังรักษาโรคเลือด ผมยังเชื่อว่าการโคลนนิ่งมนุษย์ เราก็จะได้เห็นแน่ใน 5-10 ปีข้างหน้า โลกอนาคตจะเป็นการรักษาที่ต้นเหตุ ไม่ใช่ปลายเหตุ เราจะเอาเซลล์ผิวของเรามาสร้างอวัยวะสำรองของเราเอง มีสตางค์ก็ไปสร้างตับ-ไต-หัวใจ-ปอดของเรา พออายุ 60-70 ปี อวัยวะเสื่อมแล้ว ก็เอาอวัยวะสำรองของเรามาเปลี่ยน ไม่ใช่ไปเอาอวัยวะคนอื่นมาใส่ตัวเรา อนาคตมนุษย์จะอายุยืนยาวมากๆแบบมีคุณภาพ ไม่ใช่แค่นับกันที่อายุยืนยาวอย่างเดียวแต่นอนช่วยเหลือตัวเองไม่ได้แบบนั้นไม่นับ" คุณหมอวาดภาพ 

 

พูดเรื่อง “สเต็มเซลล์” กันเยอะ คุณหมอให้ความรู้ที่ถูกต้องหน่อยค่ะ
            “สเต็มเซลล์” คือเซลล์ต้นกำเนิด เซลล์ที่ยังไม่เป็นมนุษย์ เซลล์ที่ยังไม่รู้เพศ เซลล์ที่ไม่รู้ว่าจะเติบโตเป็นอวัยวะใด เซลล์เหล่านี้ถ้าผลิตได้ใส่เข้าไปในคน มันจะวิ่งไปหาเองว่าส่วนไหนในร่างกายที่เสื่อม แล้วจะซ่อมอวัยวะที่เสื่อมลง คำว่าสเต็มเซลล์ที่ดีที่สุดในโลก ก็ต้องมาพร้อมแล็บที่มีคุณภาพที่สุดในโลก ซึ่งตามมาด้วยราคาแพงระยับ และใบสั่งจากทั่วทั้งโลก “สเต็มเซลล์” เป็นของผสมขึ้นมาจากหลายๆ ส่วน ยิ่งเด็กยิ่งแพง ยิ่งสะอาดยิ่งแพง บางคนใช้จากสายสะดือ บางคนใช้จากอสุจิผสมไข่ บางคนก็ดึงมาจากรกเด็ก กระนั้น การใช้ “สเต็มเซลล์” ต้องรอจนกว่าอายุ 60 ปีขึ้นไป เพราะเซลล์เก่ายังไม่ตาย ใส่ตัวใหม่เข้าไปก็ไม่มีประโยชน์ อายุน้อยกว่านั้นตรวจเลือดและจัดวิตามินให้เหมาะสมก็พอ

 

เป้าหมายสูงสุดของเวชศาสตร์ชะลอวัยคือความเป็นอมตะ?!
            ที่จริงแอนไท-เอจจิ้งถูกสร้างขึ้นมาเพื่อให้มนุษย์มีชีวิตอมตะ พัฒนามาจากวิทยาศาสตร์การทหารทั้งสิ้น ในอดีตถึงปัจจุบันทุกคนอยากเป็นอมตะ แต่ยังทำไม่ได้ สิ่งที่เราทำได้ใกล้เข้าไปเรื่อยๆคือ ทำให้มนุษย์มีอายุยืนยาวขึ้น แล้วตายแบบมีคุณภาพ วันหนึ่งปิดสวิตช์ปุ๊บ ทุกอย่างดับปั๊บ ไปอย่างสบาย ร่างกายคนเราก็เหมือนวงออร์เคสตร้า ทุกอย่างเสื่อมไม่เท่ากัน สิ่งที่เราทำคือดูแลร่างกายให้อวัยวะทุกส่วนลงมาแก่พร้อมๆกัน ไม่ใช่ไตไปก่อน เข่าไปก่อน สมองยังดี แต่วันดีคืนดีหัวใจวาย เป็นอัมพาตต้องนอนโรงพยาบาล สายระโยงระยางเป็น 10 ปี แล้วค่อยตาย เรียกว่าอายุยืนอย่างไม่มีคุณภาพ ศาสตร์แขนงนี้เพิ่มโอกาสในการยืดเวลาให้โรคภัยไข้เจ็บเหล่านี้มาเยือนเราช้าลง (Regenerative medicine)

 

คุณหมอจับพลัดจับผลูมาเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านนี้ได้อย่างไร
          หลังเรียนจบหมอจากศิริราช และใช้ทุนต่างจังหวัด 1 ปี ต้องเลือกเรียนต่อว่าอยากเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านไหน ผมอยากเรียนอะไรใหม่ๆที่คนไม่ค่อยเรียนกัน ไปอ่านเจอการโคลนนิ่งแกะดอลลี่ จึงเกิดความสนใจ และลองค้นหาข้อมูลทางอินเตอร์เน็ต จนไปเจอสาขาวิชาหนึ่งคือ Anti-Aging หรือวิทยาศาสตร์ชะลอวัย อยู่ภายใต้สมาคม American Academy of Anti-Aging Medicine หรือ A4M ในชิคาโก ประเทศอเมริกา ซึ่งเป็นสมาคมแรกในอเมริกาที่เปิดสอนด้านนี้อย่างจริงจัง ผมเป็นนักเรียนรุ่นแรกๆตอนนั้น คนที่ไปเรียนส่วนใหญ่จะเป็นอาจารย์เก่งๆและมีประสบการณ์มาก่อนแล้ว ส่วนผมอายุแค่ 20 กว่าปี ใช้เวลาเรียน 2 ปีเต็ม ต้องบินไปเดือนละครั้งครั้งละครึ่งเดือน ตอนนั้นเลือกเรียนสาขานี้ โดยไม่ตั้งใจว่าจะกลับมาเป็นแพทย์ เพราะต้องช่วยดูแลกิจการรีสอร์ตที่เขาใหญ่ของครอบครัว พอดีทางซีอีโอโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ชวนไปทำงานด้วยอยู่ 3 ปี จนกระทั่งมาพบอาจารย์ปราเสริฐ ปราสาททองโอสถ อาจารย์ที่หมอเคารพมากๆจึงย้ายมาเป็นผู้อำนวยการศูนย์ Bangkok Royal Life Anti-Aging ประจำโรงพยาบาลกรุงเทพ
 

เวชศาสตร์ชะลอวัยแตกต่างจากศาสตร์ทางการแพทย์ทั่วไปอย่างไร
          คือการเติมสิ่งที่ขาดไปในเลือดให้ดีขึ้น ในอดีตเราตรวจสุขภาพเพื่อดูว่าเราเป็นโรคอะไร ตรวจได้ลึกสุดแค่เบาหวาน, ความดัน และไขมัน แล้วรักษาด้วยยาตามอาการของโรค แต่ศาสตร์ Anti-Aging คือการตรวจร่างกายแบบเจาะลึก เหมือนมีแว่นขยายใหญ่ๆลงไปตรวจดูเลือดได้อย่างละเอียดยิบ ก่อนที่จะเกิดโรค ดูว่ามีความเสี่ยงจะเป็นโรคอะไรบ้าง แล้วรักษาก่อนที่จะเป็นโรค คีย์สำคัญของศาสตร์แขนงนี้คือ Preventive and Regenerative Medicine เป็นการป้องกันและดูแลสุขภาพก่อนที่จะพัง ดูลึกเข้าไปถึงตัวควบคุมร่างกาย

 

นอกจากผู้สูงอายุที่ต้องการชะลอวัย ศาสตร์แขนงนี้ยังเหมาะกับคนกลุ่มไหน
          ตั้งแต่ 3 ขวบขึ้นไป จนถึง 100 กว่าปี ขึ้นอยู่กับอายุนั้นเราขาดอะไร เช่น อายุ 3 ขวบ ถึง 20 ปี ก็จะมาตรวจว่าทำไมไม่สูง ทำไมขาลาย ทำไมสมองไม่ดี พ่อแม่ก็พามากินวิตามินบำรุงสมอง พอเข้าสู่วัย 30-40 ปี ก็จะเน้นว่าทำอย่างไรให้ร่างกายแข็งแรง อสุจิดี ไข่ดี ลูกออกมาฉลาด ไม่มีโรคทางพันธุกรรม ส่วนอายุ 40-50 ปี จะตรวจเรื่องอ้วนง่าย นอนไม่หลับ เหนื่อยง่าย และอายุ 50-60 ปี เป็นกลุ่มคนไข้เยอะสุด ตรวจเรื่องภาวะวัยทอง พออายุ 60 ปีขึ้นไป ก็จะเน้นกระดูกพรุน, อัลไซเมอร์, พาร์กินสัน, หลอดเลือดแตก-ตีบตัน

 

ศาสตร์ Anti-Aging ในเมืองไทยมีวิทยาการก้าวล้ำไปขนาดไหน
          ปกติการตรวจร่างกายใหญ่ประจำปีของโรงพยาบาลต่างๆ จะได้ผลประมาณ 5% เท่านั้น ส่วนที่เหลืออีก 95% ต้องตรวจด้วยเทคโนโลยีของเวชศาสตร์ชะลอวัย ซึ่งเครื่องมือที่สามารถตรวจได้ครบนั้นมีไม่กี่แห่งในโลก คือ อเมริกา, เยอรมนี และประเทศไทย เราถือเป็นเซ็นเตอร์ของศาสตร์แขนงนี้ที่ตรวจได้ครบถ้วนที่สุดในเอเชีย แรกเริ่มเราต้องส่งผลตรวจไปเมืองนอกหมด แต่ปัจจุบันลงทุนไปมหาศาลกับเครื่องทือระดับโลก เดี๋ยวนี้ตรวจที่เมืองไทยได้แล้ว 90% อีก 10% ส่งไปตรวจเมืองนอก เช่น เรื่องพันธุกรรมส่งไปตรวจที่แล็บในซานดิเอโก เรื่องภูมิแพ้จะส่งไปตรวจที่มิวนิก เยอรมนี

 

เวชศาสตร์ชะลอวัยสามารถตรวจลึกและละเอียดถึงระดับไหน
           เหมือนเอารถไปเช็กระยะทุกหมื่นกิโล ไม่ใช่รอพังแล้วซ่อม ผลจะมีเยอะมาก ตรวจทั้งเลือด, ปัสสาวะ, น้ำลาย, เซลล์กระพุ้งแก้ม และดีเอ็นเอ จะขึ้นอยู่กับวัย เช่น ฮอร์โมนเพศ และโกร็ธฮอร์โมน เจาะมาตรวจรู้เลยว่าอายุจริงของร่างกายเราเท่าไหร่ ฮอร์โมนเผาผลาญดีไหม อัลไซเมอร์จะเป็นไหม เซลล์สมองเหลือเยอะไหม และร่างกายขาดวิตามินอะไร การรักษาที่นี่จะไม่ใช้ยา แต่จะใช้วิตามินเกลือแร่ ซึ่งร่างกายมีอยู่แล้วตามธรรมชาติ

 

สุขภาพดีตามคอนเซปต์ของศาสตร์ Anti-Aging ต้องเป็นอย่างไร
          ศาสตร์แขนงนี้เป็นเหมือนผู้ช่วย ที่คอยโค้ชบอกคนไข้ให้ทำในสิ่งที่ควรทำ และชี้แนวทางให้คนไข้ไปสู่สุขภาพแบบทางสายกลาง คือไม่ตึงเกินไป ไม่หย่อนเกินไป ครึ่งหนึ่งคือการปรับวิตามินเกลือแร่สมดุลในร่างกายให้ดี อีกครึ่งเป็นสิ่งที่คนไข้ต้องทำเอง คือเรื่องการกิน ความเครียด และการออกกำลังกาย

 

อะไรคือปัญหาใหญ่ที่เจอในยุคปัจจุบัน
          เรื่องวัยทอง, เซ็กซ์เสื่อม และกระดูกพรุน โดยคนไข้กลุ่มใหญ่คืออายุ 50 ปีขึ้นไป ภาวะวัยทองของผู้หญิงเกิดขึ้นช่วงอายุ 48-52 ปี เมื่อประจำเดือนเริ่มหมด จะเดินหน้าเข้าสู่ภาวะแก่แบบตกเหว!! เมื่อไหร่ฮอร์โมนเพศหมด รังไข่และมดลูกหยุดทำงาน ผู้หญิงก็เดินหน้าเข้าสู่ภาวะความจำเสื่อม และกระดูกพรุน ส่วนสุขภาพทางเพศ เยื่อบุช่องคลอดจะแห้ง น้ำหล่อลื่นน้อยลง อารมณ์ทางเพศก็น้อยลง ความเชื่อเก่าคือมีเมนส์แล้วไม่แก่ ไม่มีเมนส์แล้วจะแก่...ไม่จริงเลย!! การใช้ฮอร์โมนทดแทนในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนส่งผลร้ายมากกว่าผลดี เพราะกระตุ้นมะเร็งเต้านมและมะเร็งมดลูก จริงๆแล้วมีวิตามินอีกมากที่ช่วยให้แก่ช้า กระดูกเสื่อมช้า ความจำดีขึ้น โดยไม่ต้องใช้ฮอร์โมนทดแทน

 

วัยทองของผู้ชายมาตอนอายุเท่าไหร่ และมีผลต่อความปึ๋งปั๋งมากไหม
          ตื่นมาตอนเช้าอวัยวะเพศไม่โด่เมื่อไหร่แปลว่าวัยทองมาแล้ว!! วัยทองของผู้ชายอยู่ที่อายุ 55 ปี มีอาการเตือนคล้ายผู้หญิงคือ หงุดหงิดง่าย นอนไม่หลับ ร้อนวูบวาบ เหงื่อออกกลางคืน ขี้บ่น พุงโต ความจำเสื่อม กระดูกพรุน ในทางอารมณ์ก็อาจเปลี่ยนเป็นซึมเศร้า ภาวะผู้นำลดลง ไม่อยากมีอยากได้อะไร เพียงแต่ผู้ชายกำไรหน่อย ฮอร์โมนเพศค่อยๆลดลงไม่ดิ่งเหวเหมือนผู้หญิง แถมผู้ชายบางคนยังยืดภาวะวัยทองออกไปเรื่อยๆ อายุ 70-80 ปี ก็ยังมีลูกได้ วิธีช่วยคือ มีวิตามินบางตัวที่ช่วยให้วูบวาบน้อยลง อารมณ์แปรปรวนน้อยลง ปรับสมดุลจากภาวะวัยทอง

 

คุณหมอช่วยแนะนำเคล็ดลับต้านเซ็กซ์เสื่อมหน่อยสิคะ
          อยู่ที่หลอดเลือดเป็นหลัก อะไรก็ตามที่ทำให้หลอดเลือดตีบ และไหลเวียนไม่ดี มีผลต่อสุขภาพทางเพศทั้งสิ้น สิ่งสำคัญที่ทำเองได้และง่ายคือ ห้ามอ้วน เมื่อไหร่พุงใหญ่ขึ้น เมื่อนั้นเสร็จ!! พุงใหญ่ขึ้น 1 นิ้ว จะแก่ลงทันที 2 ปี และฮอร์โมนเพศตกทันที เพราะพุงเป็นตัวแปรให้ฮอร์โมนเพศชายกลายเป็นฮอร์โมนเพศหญิง ผู้หญิงเมื่อไหร่พุงใหญ่ปุ๊บ หลอดเลือดไม่ดี เลือดไปที่อุ้งเชิงกรานน้อย มดลูก รังไข่ ช่องคลอด ก็ห่อเหี่ยวหมด สำคัญสุดคือห้ามอ้วน!! คลอเรสเทอรอล น้ำตาล เบาหวาน และไขมัน ต้องดี เท่านี้สุขภาพก็ยืนยาวแล้ว

 

หนุ่มๆฝากถามว่า อาหารเพิ่มพลังความซู่ซ่ามีอะไรบ้าง
          “แตงโม” เป็นไวอากร้าขนานใหม่ มีผลวิจัยจากอเมริกาบ่งชี้ว่า การทานแตงโมช่วยกระตุ้นระบบไหลเวียนโลหิตทั้งร่างกายในลักษณะเดียวกับไวอากร้า และเพิ่มความต้องการทางเพศ นอกจากนี้ อาหารชูรักชูรสยังรวมถึงหอยนางรม, ช็อกโกแลต, หน่อไม้ฝรั่ง,อะโวคาโด, อัลมอนด์, เมล็ดฟักทอง, กระเทียม, มะเดื่อ, พริก, เซเลอรี่ และสตรอว์เบอรี่ชีวิตเป็นของเราก็ใช้ซะ แต่ถ้าอยากแก่อย่างมีคุณภาพก็ต้องดูแลตัวเองแต่เนิ่นๆ!!


Credit: 
-นพ.ตนุพล วิรุฬหการุญ
-หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ วันอาทิตย์ 11 สิงหาคม 2556
-สมาคมแพทย์ฟื้นฟูสุขภาพและส่งเสริมการศึกษาโรคอ้วน กรุงเทพ